26 เมษายน 2025

เคล็ด(ไม่)ลับ ! วิธีจัดการกับปัญหากลิ่นเหงื่อในชีวิตประจำวัน

ในชีวิตประจำวันหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องเผชิญกับปัญหากลิ่นเหงื่อ ทั้งกลิ่นเหงื่อเหม็นเปรี้ยว และเสื้อเหม็นอับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพอากาศร้อนชื้นแบบบ้านเรา ซึ่งปัญหานี้ไม่เพียงแต่สร้างความไม่มั่นใจให้กับตัวเอง แต่ยังอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์และการเข้าสังคมอีกด้วย

ดังนั้น หลายคนจึงพยายามหาวิธีแก้ไขด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดกลิ่นเหงื่อตั้งแต่ต้นตอได้ เพราะแท้ที่จริงแล้ว การจัดการกับปัญหากลิ่นเหงื่อนั้น ไม่ได้มีแค่การใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเคล็ดลับอีกมากมายที่หลายคนอาจยังไม่รู้ แต่จะมีอะไรบ้าง ต้องตามมาดูกันเลย


ต้องบอกก่อนว่า สาเหตุที่เหงื่อมีกลิ่นนั้นซับซ้อนกว่าที่คิด เพราะแท้จริงแล้วเหงื่อที่ถูกขับออกมาจากต่อมเหงื่อ (eccrine gland) นั้นไม่มีกลิ่น แต่ปัญหาอยู่ที่แบคทีเรียบนผิวหนังของเราต่างหาก


  • ต่อมเหงื่ออะโพไครน์ (apocrine gland) : ต่อมเหงื่อชนิดนี้พบได้บริเวณรักแร้ ขาหนีบ และรอบหัวนม เหงื่อที่ผลิตจากต่อมนี้จะมีส่วนผสมของไขมันและโปรตีน ซึ่งเป็นอาหารชั้นดีของแบคทีเรีย และเมื่อแบคทีเรียย่อยสลายเหงื่อจากต่อมอะโพไครน์ ก็จะเกิดสารประกอบที่มีกลิ่นเหม็นนั่นเอง
  • แบคทีเรียบนผิวหนัง : ผิวหนังของเรามีแบคทีเรียอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ แบคทีเรียบางชนิดจะย่อยสลายสารประกอบในเหงื่อ ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ แน่นอนว่า ปริมาณและชนิดของแบคทีเรียบนผิวหนังของแต่ละคนจะแตกต่างกัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมกลิ่นเหงื่อของแต่ละคนไม่เหมือนกันนั่นเอง
  • อาหารและยาบางชนิด : อาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม เครื่องเทศบางชนิด สามารถทำให้เหงื่อมีกลิ่นได้ และยาบางชนิดก็มีผลข้างเคียงทำให้เหงื่อมีกลิ่นเปลี่ยนไปได้เช่นกัน
  • ปัญหาสุขภาพ : ในบางกรณี กลิ่นเหงื่อที่ผิดปกติอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพ เช่น โรคเบาหวาน หรือภาวะไตรั่ว

ดังนั้น การจัดการกับกลิ่นเหงื่อจึงไม่ใช่แค่การดับกลิ่น แต่เป็นการควบคุมแบคทีเรียและดูแลสุขอนามัยของผิวหนังให้สะอาดอยู่เสมอ


“เหงื่อเหม็นแก้ยังไง” หรือ “ทํายังไงให้เหงื่อไม่เหม็น” คำถามเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่จะกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคุณจะไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะพารากราฟด้านล่างนี้ มีวิธีแก้ปัญหามาให้แล้ว

1. การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล

  • การอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเน้นการทำความสะอาดบริเวณที่มีต่อมเหงื่อ Apocrine หนาแน่น เช่น รักแร้ ขาหนีบ และเท้า
  • การใช้สบู่ที่มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย เพื่อลดจำนวนแบคทีเรียบนผิวหนังที่เป็นสาเหตุของกลิ่นตัว
  • การเช็ดตัวให้แห้งสนิทหลังอาบน้ำ โดยเฉพาะบริเวณซอกหลืบต่าง ๆ เพื่อลดความชื้นที่เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย
  • การโกนหรือเล็มขนรักแร้เพื่อลดการอับชื้น และการสะสมของแบคทีเรีย

2. การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย

  • การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย (deodorant) ที่มีส่วนผสมของสารต้านแบคทีเรีย หรือผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อ (antiperspirant) ที่ช่วยลดการผลิตเหงื่อ
  • การทาผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายในเวลากลางคืน ก่อนนอน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ต่อมเหงื่อทำงานน้อยลง ทำให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมที่ก่อให้เกิดอาการแพ้

3. การเลือกสวมใส่เสื้อผ้า

  • การเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย หรือผ้าลินิน ที่ระบายอากาศได้ดี เพื่อลดการอับชื้น
  • การหลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยสังเคราะห์ เช่น ไนลอน หรือโพลีเอสเตอร์ ที่ทำให้เหงื่อออกมากขึ้น
  • การซักเสื้อผ้าทันทีหลังการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรีย

4. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค

  • การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม เครื่องเทศ หรืออาหารที่มีไขมันสูง ที่กระตุ้นการผลิตเหงื่อ
  • การดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยเจือจางเหงื่อ และลดความเข้มข้นของกลิ่น
  • การรับประทานผักและผลไม้ที่มีใยอาหารสูง เพื่อช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย

5. การจัดการความเครียด

  • การฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการหายใจลึก ๆ เพื่อลดความเครียดที่กระตุ้นการผลิตเหงื่อ
  • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยลดความเครียด และปรับสมดุลของฮอร์โมน
  • การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

6. การรักษาทางการแพทย์

  • ในกรณีที่ปัญหากลิ่นเหงื่อรุนแรง การปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การฉีดโบท็อกซ์ การใช้คลื่นไมโครเวฟ หรือการผ่าตัดต่อมเหงื่อ
  • การใช้ยาปฏิชีวนะในกรณีที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • การรักษาโรคประจำตัวที่เป็นสาเหตุของกลิ่นตัว เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคไต

การจัดการกับปัญหานี้ไม่ได้มีแค่การซักผ้าด้วยผงซักฟอกธรรมดาเท่านั้น แต่ยังมีผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่ช่วยขจัดกลิ่นเหงื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนี่คือ 2 ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมและช่วยลดปัญหาเสื้อเหม็นเหงื่อได้จริง

สมาร์ท น้ำยาซักผ้าสูตรเข้มข้น เพรซเชียส พิงค์

1. สมาร์ท ซักผ้าสูตรเข้มข้น เพรซเชียส พิงค์ สะอาด หอม ลดกลิ่นอับชื้นจากเหงื่อ

สมาร์ท เพรซเชียส พิงค์ ผลิตภัณฑ์น้ำยาซักผ้า สูตรเข้มข้น สยบกลิ่นอับชื้นจากเหงื่อได้ที่ต้นเหตุ สามารถทำความสะอาดได้กับผ้าทุกชนิด

คุณสมบัติ :

  • ลดกลิ่นอับชื้นจากเหงื่อ ด้วยเทคโนโลยี Odor Control
  • ขจัดคราบสกปรก
  • เหมาะสำหรับผ้าขาว และผ้าสี
  • กลิ่นหอมสะอาด
  • ใช้ได้ทั้งซักมือ และซักเครื่อง
สมาร์ท ผลิตภัณฑ์น้ำยาปรับผ้านุ่ม กลิ่น สวีท เซ้นส์

2. สมาร์ท ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม สูตรเข้มข้นพิเศษ กลิ่น สวีท เซ้นส์ สีชมพู ช่วยลดกลิ่นอัพ หอมยาวนานกว่า 6 เท่า

ผลิตภัณฑ์น้ำยาปรับผ้านุ่ม สมาร์ท เทคโนโลยีกลิ่นหอม ช่วยลดกลิ่นอับชื้น (SMART SCENTECH TECHNOLOGY) พัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำหอมระดับโลก ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะ พร้อมคงความหอมยาวนานกว่า 6 เท่า* ทำให้คุณมั่นใจในทุก ๆ วัน โดยมีคุณสมบัติเด่นดังต่อไปนื้

  • กลิ่นหอมช่วยลดกลิ่นอับชื้น แม้ตากในที่ร่ม พื้นที่แคบ หรือตากในตอนกลางคืน
  • กลิ่นหอมติดผ้าทนยาวนาน 6 เท่า* เมื่อเทียบกับปรับผ้านุ่มโดยทั่วไป
  • เนื้อผ้านุ่มลื่น ไม่ลีบติดตัว
  • ช่วยให้ผ้ารีดง่าย
  • ผ้านุ่มฟู สวมใส่สบาย
  • คงสีสันสดใส ทุกใยผ้า
  • อ่อนโยน สำหรับทุกชุดโปรด
  • สีชมพู กลิ่น สวีท เซ้นส์ (SWEET SCENT) กลิ่นหอมสะอาดสดชื่น สดใสต้อนรับวันใหม่ อุดมด้วยผลไม้ และดอกไม้นานาชนิด ให้ความรู้สึกน่ารักน่ากอด

จะเห็นได้ว่า การเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเสื้อผ้าที่เหมาะสมก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยลดปัญหากลิ่นเหงื่อได้ ทำให้เสื้อผ้าสะอาดปราศจากกลิ่นอับ และหอมสดชื่นยิ่งขึ้นตลอดวัน

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

ผลิตภัณฑ์ซักผ้า

ซื้อเลย

ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม

ซื้อเลย

For the best experience, we recommend viewing the site in portrait orientation on mobile devices.