เคยไหม ? ที่กลิ่นหอมบางกลิ่นสามารถพาคุณย้อนกลับไปสู่วันเวลาเก่า ๆ หรือสร้างความรู้สึกพิเศษได้อย่างน่าประหลาดใจ นี่แหละ คือ “เวทมนตร์ของกลิ่นหอมอย่าง น้ำหอมและโคโลญจน์” ที่เราจะมาเจาะลึกกันในบทความนี้นั่นเอง

ความแตกต่างระหว่างน้ำหอมและโคโลญจน์
ความแตกต่างระหว่างน้ำหอมและโคโลญจน์ (รวมถึงประเภทน้ำหอมอื่น ๆ เช่น Eau de Toilette และ Eau de Parfum) นั้นอยู่ที่ความเข้มข้นของน้ำมันหอม (fragrance oil) ที่ผสมอยู่ในตัวทำละลาย ซึ่งส่วนใหญ่ คือ แอลกอฮอล์และน้ำ ยิ่งความเข้มข้นของน้ำมันหอมสูงเท่าไหร่ กลิ่นก็จะยิ่งติดทนนานและมีราคาสูงขึ้นเท่านั้น
1. Parfum (Perfume หรือ Extrait de Parfum)
มีความเข้มข้นของน้ำมันหอมสูงที่สุด ประมาณ 20-30% เลยทีเดียว ทำให้กลิ่นติดทนนาน ประมาณ 6-8 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น เหมาะสำหรับใช้ในโอกาสพิเศษ / งานกลางคืน เนื่องจากกลิ่นค่อนข้างเข้มข้นและหรูหรา แถมยังพ่วงมาด้วยราคาที่สูงลิ่ว
2. Eau de Parfum (EDP)
มีความเข้มข้นของน้ำมันหอมรองลงมา ประมาณ 15-20% กลิ่นติดทนประมาณ 4-5 ชั่วโมง ตัวนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยม โดยเฉพาะใน น้ำหอมผู้หญิงเพราะมีกลิ่นติดทนในระดับที่พอดี และมีราคาที่สมเหตุสมผล เหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันและโอกาสต่าง ๆ
3. Eau de Toilette (EDT)
มีความเข้มข้นของน้ำมันหอมประมาณ 5-15% กลิ่นติดทนประมาณ 2-3 ชั่วโมง เป็นที่นิยมเช่นกัน โดยเฉพาะในน้ำหอมผู้ชาย เพราะมักมีกลิ่นที่สดชื่นและเบากว่า Eau de Parfum เหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันหรือวันที่ต้องการความสบาย ๆ
4. Eau de Cologne (EDC)
มีความเข้มข้นของน้ำมันหอมน้อยที่สุด ประมาณ 2-4% กลิ่นติดทนประมาณ 1-2 ชั่วโมง เป็นกลิ่นที่เบา และมีราคาถูกที่สุด เหมาะสำหรับใช้หลังอาบน้ำเพื่อให้ความรู้สึกสดชื่น หรือใช้ในวันที่อากาศร้อน
5. Eau Fraîche
มีความเข้มข้นของน้ำมันหอมน้อยกว่า Eau de Cologne ประมาณ 1-3% มักมีส่วนผสมของน้ำมากกว่าแอลกอฮอล์ ทำให้กลิ่นติดทนน้อยกว่า แต่ให้ความรู้สึกสดชื่นและเบาสบาย เหมาะสำหรับคนผิวบอบบาง
สรุป
ประเภท | ความเข้มข้นของน้ำมันหอม | ระยะเวลาความหอม | โอกาสในการใช้ | ราคา |
Parfum | 20-30% | 6-8+ ชั่วโมง | โอกาสพิเศษ งานกลางคืน | สูงที่สุด |
Eau de Parfum | 15-20% | 4-5 ชั่วโมง | ชีวิตประจำวัน โอกาสต่าง ๆ | สูง |
Eau de Toilette | 5-15% | 2-3 ชั่วโมง | ชีวิตประจำวัน วันสบาย ๆ | ปานกลาง |
Eau de Cologne | 2-4% | 1-2 ชั่วโมง | หลังอาบน้ำ วันอากาศร้อน | ถูก |
Eau Fraîche | 1-3% | น้อยกว่า 1 ชั่วโมง | ผิวบอบบาง ต้องการความสดชื่นเบา ๆ | ถูก |
ประเภทของกลิ่นที่ได้รับความนิยมในแวดวงน้ำหอมและโคโลญจน์
การทำความเข้าใจประเภทของกลิ่นเหล่านี้ จะช่วยให้คุณเลือกน้ำหอมและโคโลญจน์ที่ตรงกับความชอบและบุคลิกของคุณได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ น้ำหอมและโคโลญจน์หนึ่งขวดอาจมีกลิ่นหลายประเภทผสมผสานกันอยู่ ซึ่งเรียกว่า “โน้ต” เช่น อาจมีกลิ่นซิตรัสในช่วงแรก (Top notes) ตามด้วยกลิ่นดอกไม้ (Middle notes) และปิดท้ายด้วยกลิ่นไม้ (Base notes) ซึ่งจะทำให้เกิดกลิ่นที่ซับซ้อนและน่าสนใจยิ่งขึ้นนั่นเอง

1. Floral (กลิ่นดอกไม้)
กลิ่นดอกไม้เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีกลิ่นหอมหวาน อ่อนโยน และโรแมนติก มักใช้น้ำมันหอมระเหยจากดอกไม้ชนิดต่าง ๆ เช่น กุหลาบ มะลิ ลิลลี่ หรือดอกไม้อื่น ๆ เป็นต้น
ลักษณะ | หอมหวาน อ่อนโยน โรแมนติก หรูหรา |
เหมาะสำหรับ | ผู้หญิงที่ต้องการความอ่อนหวาน น่ารัก หรือต้องการสร้างความประทับใจในโอกาสพิเศษ |
ตัวอย่างกลิ่น | กุหลาบ มะลิ ลิลลี่ พีโอนี ไวโอเล็ต |
ประเภทย่อย | – Soliflore : เน้นกลิ่นดอกไม้ชนิดเดียว เช่น กลิ่นกุหลาบเดี่ยว ๆ – Floral Bouquet : ผสมผสานกลิ่นดอกไม้หลายชนิดเข้าด้วยกัน – Fruity Floral : ผสมผสานกลิ่นดอกไม้กับผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล เบอร์รี่ – Aldehydic Floral : กลิ่นดอกไม้ที่เสริมด้วยสารสังเคราะห์ ทำให้กลิ่นมีความคมชัดและทันสมัยขึ้น |
2. Citrus (กลิ่นซิตรัส)
กลิ่นซิตรัสให้ความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และมีชีวิตชีวา มักใช้น้ำมันหอมระเหยจากผลไม้ตระกูลส้ม เช่น มะนาว ส้ม เกรปฟรุต และมะกรูด
ลักษณะ | สดชื่น กระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวา สดใส |
เหมาะสำหรับ | ใช้ในชีวิตประจำวัน วันที่อากาศร้อน หรือผู้ที่ต้องการความสดชื่น |
ตัวอย่างกลิ่น | มะนาว ส้ม เกรปฟรุต มะกรูด ส้มแมนดาริน |
ประเภทย่อย | – Citrus Aromatic : ผสมผสานกลิ่นซิตรัสกับสมุนไพร เช่น โรสแมรี่ ลาเวนเดอร์ – Citrus Floral : ผสมผสานกลิ่นซิตรัสกับดอกไม้ เช่น มะลิ เนโรลี |

3. Woody (กลิ่นไม้)
กลิ่นไม้ให้ความรู้สึกอบอุ่น มั่นคง หนักแน่น และมีเสน่ห์ มักใช้น้ำมันหอมระเหยจากไม้ต่าง ๆ เช่น ไม้จันทน์ ไม้ซีดาร์ ไม้กฤษณา และหญ้าแฝก
ลักษณะ | อบอุ่น มั่นคง หนักแน่น มีเสน่ห์ ลึกลับ |
เหมาะสำหรับ | ผู้ชายที่ต้องการความมั่นใจและภูมิฐาน หรือผู้หญิงที่ต้องการกลิ่นที่เข้มแข็งและมีเอกลักษณ์ |
ตัวอย่างกลิ่น | ไม้จันทน์ ไม้ซีดาร์ ไม้กฤษณา หญ้าแฝก พิมเสน |
ประเภทย่อย | – Dry Woods : กลิ่นไม้แห้ง ๆ เช่น ไม้ซีดาร์ – Mossy Woods : กลิ่นไม้ที่ผสมผสานกับมอส ให้ความรู้สึกดิบและธรรมชาติ – Woody Oriental : ผสมผสานกลิ่นไม้กับเครื่องเทศและกลิ่นโอเรียนทัล |
4. Oriental (กลิ่นโอเรียนทัล)
กลิ่นโอเรียนทัลให้ความรู้สึกอบอุ่น หรูหรา ลึกลับ และเย้ายวน มักใช้ส่วนผสมที่มีกลิ่นหอมเข้มข้น เช่น เครื่องเทศ วานิลลา อำพัน และมัสก์
ลักษณะ | อบอุ่น หรูหรา ลึกลับ เย้ายวน เข้มข้น |
เหมาะสำหรับ | ใช้ในโอกาสพิเศษหรืองานกลางคืน หรือผู้ที่ต้องการกลิ่นที่โดดเด่นและน่าค้นหา |
ตัวอย่างกลิ่น | วานิลลา อำพัน มัสก์ เครื่องเทศ (เช่น อบเชย กานพลู) กำยาน |
ประเภทย่อย | – Floral Oriental : ผสมผสานกลิ่นโอเรียนทัลกับดอกไม้ เช่น มะลิ กุหลาบ – Spicy Oriental : เน้นกลิ่นเครื่องเทศ เช่น อบเชย กานพลู พริกไทย – Woody Oriental : ผสมผสานกลิ่นโอเรียนทัลกับไม้ เช่น ไม้จันทน์ ไม้กฤษณา |

5. Gourmand (กลิ่นกัวร์แมนด์)
กลิ่นกัวร์แมนด์ให้ความรู้สึกหอมหวาน น่ากิน และอบอุ่น มักมีส่วนผสมของกลิ่นอาหาร เช่น วานิลลา คาราเมล ช็อกโกแลต และขนมหวานต่าง ๆ
ลักษณะ | หอมหวาน น่ากิน อบอุ่น น่ารัก ขี้เล่น |
เหมาะสำหรับ | ผู้ที่ชื่นชอบกลิ่นขนมหวาน หรือต้องการกลิ่นที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย |
ตัวอย่างกลิ่น | วานิลลา คาราเมล ช็อกโกแลต น้ำผึ้ง อัลมอนด์ |
ประเภทย่อย | – Fruity Gourmand : ผสมผสานกลิ่นกัวร์แมนด์กับผลไม้ เช่น เบอร์รี่ พีช – Floral Gourmand : ผสมผสานกลิ่นกัวร์แมนด์กับดอกไม้ เช่น ดอกส้ม มะลิ |
วิธีเลือกน้ำหอมและโคโลญจน์ ฉบับมือใหม่ไม่ยุ่งยาก
การเลือกน้ำหอมและโคโลญจน์ให้เหมาะกับตัวเอง เป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคลล้วน ๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากคุณเป็นมือใหม่ ความรู้ในด้านนี้เป็นศูนย์ เราก็มีหลักการง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นมาฝากกัน
1. ทดสอบกลิ่นบนผิว
การทดสอบกลิ่นน้ำหอมหรือโคโลญจน์อย่างถูกต้องนั้น สิ่งสำคัญ คือ อย่าดมจากขวดโดยตรง เพราะการดมกลิ่นจากขวดจะทำให้คุณได้รับกลิ่นที่เข้มข้นมากเกินไปและอาจไม่ตรงกับกลิ่นที่อยู่บนผิวของคุณ วิธีที่ถูกต้อง คือ ฉีดน้ำหอมหรือโคโลญจน์ในปริมาณเล็กน้อยลงบนข้อมือหรือข้อพับแขน แล้วรอสักครู่ (ประมาณ 10-15 นาที) เพื่อให้แอลกอฮอล์ระเหยและกลิ่นของน้ำหอมหรือโคโลญจน์ทำปฏิกิริยากับผิวของคุณ ซึ่งจะทำให้คุณได้กลิ่นที่แท้จริงของน้ำหอมหรือหรือโคโลญจน์นั้น ๆ
2. พิจารณาโอกาสใช้งาน
การเลือกน้ำหอมและโคโลญจน์ควรพิจารณาจากโอกาสและฤดูกาลด้วย สำหรับชีวิตประจำวัน ควรเลือกกลิ่นที่เบา สดชื่น และไม่รบกวนผู้อื่น เช่น กลิ่นซิตรัส กลิ่นดอกไม้บางชนิด หรือกลิ่นสะอาด ๆ ในขณะที่โอกาสพิเศษ ควรเลือกกลิ่นที่หรูหรา โดดเด่น และติดทนนาน เช่น กลิ่นโอเรียนทัล กลิ่นวู้ดดี้ หรือกลิ่นฟลอรัลที่เข้มข้น
นอกจากนี้ ฤดูกาลก็มีผลต่อการเลือกกลิ่นเช่นกัน ในฤดูร้อน ควรเลือกกลิ่นที่สดชื่น เบา และไม่หนักจนเกินไป เช่น กลิ่นซิตรัส กลิ่นอควาติก หรือกลิ่นฟรุ๊ตตี้ ส่วนในฤดูหนาว ควรเลือกกลิ่นที่อบอุ่นและติดทนนาน เช่น กลิ่นวู้ดดี้ กลิ่นโอเรียนทัล หรือกลิ่นกัวร์แมนด์ เป็นต้น

3. เลือกกลิ่นที่เข้ากับบุคลิก
การเลือกกลิ่นน้ำหอมหรือโคโลญจน์ให้เข้ากับบุคลิกภาพก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน หากคุณมีบุคลิกสดใส ร่าเริง กลิ่นที่เหมาะคือ กลิ่นซิตรัส กลิ่นฟรุ๊ตตี้ หรือกลิ่นดอกไม้บางชนิดที่ให้ความรู้สึกสดชื่น ในขณะที่บุคลิกอ่อนหวาน โรแมนติก เหมาะกับกลิ่นดอกไม้ กลิ่นแป้ง หรือกลิ่นวานิลลา ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยน สำหรับผู้ที่มีบุคลิกมั่นใจ เข้มแข็ง กลิ่นวู้ดดี้ กลิ่นโอเรียนทัล หรือกลิ่นเครื่องเทศ จะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความโดดเด่น และสุดท้าย หากคุณมีบุคลิกลึกลับ น่าค้นหา กลิ่นโอเรียนทัล กลิ่นมัสก์ หรือกลิ่นอำพัน จะช่วยเพิ่มเสน่ห์และความน่าสนใจ
บทสรุป
ก่อนจากกันไปในบทความนี้ เราขอแชร์ทริควิธีการใช้น้ำหอมและโคโลญจน์อย่างถูกวิธี เพื่อให้กลิ่นหอมติดทนนาน โดยมีเคล็ดลับง่าย ๆ 4 ข้อ คือ ฉีดบริเวณจุดชีพจร, ฉีดในระยะห่างพอสมควร, ไม่ควรฉีดมากเกินไป และหลีกเลี่ยงการถูข้อมือนั่นเอง เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเพลิดเพลินไปกับกลิ่นหอมที่ติดทนตลอดวัน สร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนรอบข้าง และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคุณให้โดดเด่นยิ่งขึ้นแล้วล่ะ